19 มีนาคม 2551

Human Resource Information System (HRIS)

Re: Quiz # 4.

***** Human Resource Information System (HRIS) ในกรณีที่บริษัทของท่านมีสาขาอยู่ทั่วทุกภาค มีพนักงานมากกว่า 10,000 คน ท่านสามารถนำระบบ HRISมาประยุกต์ใช้ในบริษัทของท่านอย่างไร จึงจะเกิดประสิทธิภาพสูง

การนำระบบ HRIS มาประยุกต์ใช้ในบริษัทให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

1. Employee master
พนักงานสามารถเข้ามาดูรายละเอียด / แก้ไขบางข้อมูล(ที่อนุญาต) เพื่อ
Up date รายการส่วนบุคคลโดยไม่ต้องเดินทางเข้ามาที่สำนักงานใหญ่หรือทำหนังสือแจ้งมาที่ฝ่ายบุคคลให้แก้ไข ซึ่งกระบวนการแบบเก่าจะทำให้เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมาก

2. Training
ฝ่ายฝึกอบรม – บุคคล สามารถประกาศ / แจ้งรายการ / รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการฝึกอบรม ตารางการฝึกอบรม ค่าใช้จ่าย ฯลฯ ตลอดจนการสำรวจ training needs จากพนักงานได้โดยอาศัยระบบนี้

3. Transfer
พนักงานและบริษัทสามารถสื่อสารถึงความต้องการในการโอนย้ายตำแหน่งงาน ตำแหน่งงานว่าง คุณสมบัติที่ต้องการ ฯลฯ ผ่านระบบนี้ได้

4. Welfare
พนักงานสามารถเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลผลประโยชน์ สวัสดิการต่างๆ ในขณะเดียวกันบริษัทก็สามารถลงประกาศ ปรับปรุงข้อมูล ผลประโยชน์เพิ่มเติม / ยกเลิก ฯลฯ รวมถึงระเบียบปฏิบัติต่างๆ ในการเรียกร้องประโยชน์ตอบแทน

5. Raise salary
การสื่อสารเรื่องอัตราเงินเดือน ประเภทของรายได้ ของพนักงานแต่ละคนแต่ละตำแหน่ง

6. Event
ในกรณีนี้บริษัทสามารถสื่อสารกับพนักงานในทุกสาขาได้ทันที รวดเร็วและทันเวลาเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทเช่น การจัดประชุมระดับ....การจัดงานปีใหม่ ฯลฯ โดยพนักงานสามารถเข้าไปดîยละเอียดต่างๆ ของกำหนดการ วัน เวลา สถานที่จัดงาน ใครเกี่ยวข้องบ้าง ฯลฯ

7. Evaluate
พนักงานสามารถตรวจสอบได้ว่าบริษัทมีเกณฑ์ในการประเมินอย่างไร ด้านใดด้วยวิธีการแบบไหนเพื่อประโยชน์ของตัวพนักงานเองในการปรับปรุงพัฒนาตนเองรวมถึงวิธีการทำงานเพื่อสร้างผลงานให้ดีขึ้น สอดคล้องตามเป้าหมายและนโยบายของบริษัท

8. Man power
ข้อมูลรายละเอียดที่แสดงในระบบนี้ จะช่วยให้พนักงานได้มองเห็นโอกาสของตนหากต้องการจะ Transfer หรือ rotate และบริษัทเองก็สามารถสรรหากำลังคนจากภายในมาทดแทนในบางตำแหน่งได้

9. Budget
ในระบบนี้สามารถแยกย่อยออกไปได้อีกนอกเหนือจากการแสดงให้เห็นถึงงบประมาณในส่วนต่างๆ (ที่อนุญาตให้พนักงานเข้าถึงได้ในบางรายการ) ได้แก่ งบค่าเดินทางดูงาน ดูตลาด พบลูกค้า ในประเทศ – ต่างประเทศ ค่าที่พัก ฯลฯ

10. Recruitment
ระบบนี้อาจจะเกิดประโยชน์ต่อพนักงานในทางอ้อม เช่นการบอกกล่าวต่อญาติพี่น้อง เพื่อน คนรู้จักให้มาสมัครงานในตำแหน่งที่บริษัทกำลังต้องการ(จะมีพนักงานคนไหนที่อยากลาออกจากตำแหน่งเดิมที่ทำอยู่แล้วมาสมัครในตำแหน่งใหม่ที่บริษัทกำลังเปิดรับ / พนักงานควรไปใช้โอกาสของตนในข้อ Transfer น่าจะดีกว่า / เสี่ยงต่อการถูกกำจัดมากๆ!)

11. Blacklist
น่าจะดีถ้าคนทำงานที่แย่ๆ บางคนได้รับรู้ว่าคุณจะต้องรับกรรมอะไรบ้างจากตัวอย่างที่บริษัทมีให้เห็น จะได้ไม่ต้องเดินซ้ำรอยคนที่ทำผิดพลาดไปแล้ว / ระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทำนองนั้นกับตน

โดยสรุป:
ระบบ HRIS ก่อประโยชน์มหาศาลในแง่ของการประหยัดต้นทุนเวลา (ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่สำคัญมากๆ / เวลาควรจะถูกใช้ไปในงานด้านลูกค้า หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากกว่าจะมานั่งทำงานที่เป็นลักษณะประจำสม่ำเสมอ การนำเทคโนโลยี่เข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยจัดการจะช่วยลดการสูญเสียเวลานั้นได้เพราะในแง่ของการทำธุรกิจ “ใครเร็วกว่า” คนนั้นได้เปรียบยังเป็นปรัชญาที่เชื่อถือได้
นอกจากนี้ยังเป็นการประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เป็นตัวเงินได้จริง เช่นค่าโทรศัพท์ เอกสาร ค่าตัวพนักงานแต่ละคน (ที่ล้วนมีต้นทุน) ค่าเดินทาง ฯลฯ
ที่สำคัญระบบที่สมบูรณ์แบบ (หรือค่อนข้างสมบูรณ์แบบ) เข้าถึงง่ายและใช้งานได้ง่าย จะสามารถลดความรู้สึกว่าต้องคุยอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีชีวิตลงได้เพราะเมื่อเป็นการสื่อสาร ระบบที่ Real time จะช่วยให้เกิดการตอบสนองในทางที่ดี รวดเร็ว ทันเวลาและไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องเข้ามาใช้บริการ
อย่างไรก็ตามการจะบรรลุผลดีที่สุดนั้นยังขึ้นอยู่กับการมองเห็นความสำคัญของการนำระบบมาใช้ การมีหน่วยงานรับผิดชอบเป็นจริงเป็นจัง มีงบประมาณสำหรับการพัฒนาหรือการ Maintain เพื่อให้ระบบมีชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.

................................................................................................อังคารที่ 18 มีนาคม 2551...

22 กุมภาพันธ์ 2551

เรามาฝึกสมองกันเถอะ...

10 วิธีฝึกสมองเพื่อพัฒนาความสามารถและความคิดสร้างสรรค์
หลายต่อหลายคนมักจะคิดถึงการมีสุขภาพกายที่ดีเป็นอย่างแรก จึงละเลยหรือลืมฝึกสมองในแง่ของความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ วันนี้เรามี 10 วิธีการฝึกสมองเพื่อพัฒนาความสามารถและความคิดสร้างสรรค์สำหรับคุณ ด้วย “นิวโรบิกส์” โปรแกรมที่เปรียบเสมือน การฝึกยิมนาสติกให้กับสมอง จะช่วยบริหารเซลล์สมองให้สดชื่นและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้นค่ะ
1. หลีกหนีความจำเจ
การหลีกหนีความจำเจ เป็นแก่นแท้ของแนวคิดนิวโรบิกส์ เพราะการทำอะไรซ้ำๆ นอกจากจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายแล้ว สมองก็รู้สึกเบื่อได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงควรแสวงหาอะไรใหม่ๆ ทำบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยแต่จะสามารถช่วยให้เซลล์ประสาทเกิดการผ่อนคลายหายเครียดจากงานประจำได้ค่ะ
2. ไม่สูดกลิ่นเดิมๆ ซ้ำๆ
ทุกเช้าเมื่อได้กลิ่นกาแฟเดิมๆ ฉีดน้ำหอมกลิ่นเดิมๆ ถ้าจมูกคนเราได้รับกลิ่นเดิมๆ บ่อยเข้า จะทำให้จมูกและประสาทส่วนรับกลิ่นชินชาต่อกลิ่นนั้นได้ค่ะ อีกทั้งการรับกลิ่นอื่นๆ ก็จะด้อยคุณภาพลงไปด้วย
3. รับรสสัมผัสใหม่ๆ
ตอนที่คุณอาบน้ำในอ่างหรืออาบแบบฝักบัว ลองแกล้งลืมถูสบู่ เจลอาบน้ำหรือแชมพูดดูสักครั้งสิคะ อาจจะทำให้การรับรสสัมผัสทางกายดีขึ้นได้
4. เปลี่ยนความถนัดส่วนตัว
คนถนัดมือขวา ก็หันมาลองใช้มือซ้ายดูบ้าง หรือหากถนัดซ้าย ก็ลองใช้มือขวาแทน ไม่ว่าจะหวีผม แปรงฟัน หรือเขียนหนังสือ ซึ่งการได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่ซ้ำซากจำเจนั้น ไม่เพียงแค่สนุกสนาน แต่ยังทำให้สมองส่วนต่างๆ แอ็กทีฟขึ้น แล้วคุณก็จะพบว่าการได้ทำอะไรกลับด้านนั้นมันไม่ยากเย็นเหมือนที่คิดไว้เลย
5. หาทางเดินใหม่ ๆ
พยายามหาทางใหม่ๆ เดินเล่น หลีกหนีเส้นทางเก่าที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางไปออฟฟิศหรือทางกลับบ้าน ทำไมไม่ลองเดินผ่านสวนสาธารณะ หรือเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นที่ไม่เคยไปดูบ้างล่ะคะ การทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้สมองของคุณได้มีโอกาสคิดแล้ว คุณยังได้พบกับสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
6. ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
การจัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หาที่แขวนรูปและนาฬิกาใหม่ หรือการพบปะผู้คนใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้ค่ะ ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ง่ายนัก แต่คุณจะค่อยๆ ชินไปเอง การปรับเปลี่ยนแบบนี้ทำให้สมองด้านซ้ายซึ่งทำงานทางด้านความคิดสร้างสรรค์มีพัฒนาการที่ดีกว่าเดิมนะคะ
7. เสริมความทรงจำด้วยกลิ่น
ขณะที่พูดโทรศัพท์หรืออ่านหนังสือควรสูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยไปด้วย เช่น กลิ่นมิ้นต์หรือกลิ่นมะนาว เพราะกลิ่นดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ความจำในรายละเอียดดียิ่งขึ้นค่ะ
8. รับประทานอาหารรสชาติแปลกๆ ทุกๆ วัน
ถ้ามีการรับประทานอาหารที่แปลกไปจากเดิม จะทำให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้น ไม่เชื่อลองไปทางอาหารที่ร้านอาหารเวียตนาม ญี่ปุ่น จีน หรืออินเดียดูบ้างสิคะ กลิ่นและรสชาติของอาหาร ที่แปลกแตกต่างไปจะพลอยทำให้สมองของคุณรู้สึกเหมือนได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่นั้นด้วย

9. ปิดประสาทรับเสียง
ลองใช้สำลี หรือที่อุดหูโดยเฉพาะ เพื่อฝึกใช้แต่ประสาททางสายตาและทางจมูกดูสักพัก ไม่แน่นะคุณอาจค้นพบความสามารถพิเศษแปลกใหม่ที่คุณไม่คิดว่าจะมีอยู่ในตัวเองก็เป็นได้
10. ใส่ใจในสัมพันธ์แห่งรัก
การหมั่นเติมความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับชีวิตคู่ของคุณอยู่เสมอ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาสมองและอารมณ์ของคุณให้ดีขึ้นได้อีกด้วยครับ......
จากภาพ ให้ดูสี ทีละสี ๆ แล้วให้อ่านออกเสียงดัง ๆ ว่าเป็นสีอะไร (ห้ามอ่านตัวหนังสือ)
สีเขียว สีฟ้า สีแดง สีเหลือง

สีดำ สีม่วง สีเขียว สีส้ม

สีแดง สีนำเงิน สีเหลือง สีเขียว

สีม่วง สีดำ สีแดง สีฟ้า

สีส้ม สีเทา สีน้ำเงิน สีม่วง

ข้อสังเกต : หลายคนอาจจะสับสนบ้างเล็กน้อยในขณะที่อ่านสีแต่ละสี เนื่องจากสมองซีกขวาจะรับรู้เรื่องสี แต่ขณะเดียวกันสมองซีกซ้ายจะรับรู้เรื่องคำพูดหรือคำเขียน ทำให้สมองเกิดความสับสนขึ้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากมองของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ซีก แต่อย่างไรก็ตามแม้สมองของเราจะทำหน้าที่รับรู้แตกต่างกัน แต่ก็ทำงานประสานสัมพันธ์กัน

13 กุมภาพันธ์ 2551

Valentine's Day




"The course of true love never ran smooth.But if you can hold to the course,you can surmount the obstacles that life puts in the way" "ความรักย่อมมีอุปสรรค แต่อุปสรรคจะทำให้รักเรา มีความหมายมากขึ้น"
เช็กสเปียร์
ดอกไม้ " วันวาเลนไทน์ " ..
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลาย รูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย

กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย




กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น




กุหลาบดำ(black rose) หมายถึง ความรักนิรันดร์





กุหลาบแดง (red rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ" การให้ดอกกุหลาบแดงกับคนที่รักความหมายถึงความรักอันลึกซึ้ง จริงจัง กุหลาบแดงจึงมักจะเป็นดอกไม้ ที่ชายหนุ่มให้หญิงสาวที่ตนเองตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน



กุหลาบขาว (white rose) : สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธ์ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ดังนั้นมันจึงสามารถใช้แทนความรักของคนต่างวัย ความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้




กุหลาบชมพู (pink rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน การให้ดอกกุหลาบสีชมพูสามารถแสดงถึงความรัก ที่กำลังเริ่มงอกงามในใจ และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นความรักที่ลึกซึ้งได้




กุหลาบเหลือง (yellow rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส กุหลาบสีเหลืองถูกใช้สำหรับแทนความรักแบบเพื่อน และความ สนุกสนานรื่นเริงจึงมักจะนำมันมาประดับตะกร้าสำหรับเยี่ยมผู้ป่วย เพื่อทำให้คนป่วยรู้สึกสดชื่นรื่นเริงขึ้นนั่นเอง




สำหรับดอกไม้อื่น ๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักก็มี ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรัก อย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง



ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู (pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ"



ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ "




สำหรับดอก(forget-me-not)มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน




มาถึงดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในบ้านเราบ้างดอกทานตะวัน (sunflower) มีความหมายถึงความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา

จะเห็นได้ว่าดอกไม้เป็นประดิษฐกรรมทางธรรมชาติที่มนุษย์เรานำมาใช้เป็นสื่อแทนความหมาย แห่งความรักได้หลายรูปแบบ การมอบดอกไม้ให้กับคนที่เรามีความรู้สึกพิเศษจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ... Vlentine นี้คุณมีดอกไม้ในใจที่จะให้คนที่คุณรักแล้วหรือยังหรือคุณคิดว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญกับคนที่คุณรักในวันวาเลนไทน์?

05 กุมภาพันธ์ 2551

"ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ?"

บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆไป เพียงเพราะใช้เวลาสั้นๆในการตัดสินสิ่งนั้นว่า"ไร้สาระ"
หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า"ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ?" ผมไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามที่ไม่มีสาระอะไรเสียเลย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่นๆไปว่า "ก็คงมีเพื่อความสะดวกมั๊ง หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมที่ชอบวางยางลบไม่เป็นที่เป็นทางได้มีบางลบใช้มั๊ง
เพื่อนของผมก็อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบผมสั้นๆว่า "ไม่ใช่"
"อ้าว..งั้นเพราะอะไรล่ะ?" ผมอดที่จะถามไม่ได้
ก็เพราะว่า "คนเราสามารถทำผิดกันได้"
"........" ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำตอบ และปล่อยให้เจ้าของคำถามเดินจากไป โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่าคำตอบสั้นๆของเขาเท่านั้น คำถามของเพื่อนที่ผมเคยมองว่ามันไร้สาระ กลับทำให้ผมได้เก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่างเย็นวันนั้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์เขียนข้อความส่งถึงเพื่อนๆด้วยประโยคที่ซ้ำกัน... "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ"
"เพราะคนเราสามารถทำผิดกันได้ แต่จงจำไว้ว่า...เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอ เพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆจนความผิดนั้นอาจสายเกินแก้"
ผมเองยังไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดต่อจากเพื่อนนั้นมันจะถูกต้องหรือไม่ และเพื่อนๆที่ได้รับข้อความจากผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกหรือเปล่า จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการมากสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมอยากได้รับ คือ เพื่อนของผมจะคิดต่อจากความคิดของผมอย่างไร และลึกๆผมก็แค่หวังว่า "เพื่อนของผมคงจะกล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาดและไม่ประมาทในการใช้ชีวิตและยอมรับการกระทำของตัวเอง" เพียงแค่นั้นผมก็หมดห่วง และเพื่อนๆที่ได้อ่านแล้วคิดอย่างไรกันบ้างครับว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ?"

31 มกราคม 2551

เมื่องานทำให้คุณป่วย "โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง"

เมื่องานทำให้คุณป่วย"โรค่ออนเพลียเรื้อรัง"(Hypoglycemia)

คุณมีอาการเหล่านี้หรือเปล่า?

รู้สึกเบื่อหน่าย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ มีอาการทางประสาท เวียนหัว ปวดหัว เหงื่อแตกบ่อยๆมือสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง เบื่ออาหาร จิตใจฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ เนื้อตัวชาเป็นบางครั้ง ท้องอืด ท้องขึ้น มือเย็น เท้าเย็น รู้สึกสับสนปั่นป่วน เป็นตระคริวบ่อย เบื่อการพบปะผู้คน อ้วน น้ำหนักเกินการทรงตัวไม่ดี อยากฆ่าตัวตาย เกิดการชักกระตุกเป็นลมบ่อยๆ ความจำเสื่อม วิตกกังวลง่าย หิวอย่างรุนแรงก่อนถึงเวลา ลังเล ตัดสินใจไม่ได้ อยากกินของหวานๆ กามตายด้าน มีอาการภูมิแพ้ การประสานงานส่วนต่างๆของร่างกายเลวลง คันตามผิวหนัง หายใจไม่ออกบ่อยๆ ฝันร้ายบ่อยๆ ปากแห้ง-คอแห้ง ลมหายใจและปากมีกลิ่นแปลกๆ โมโหร้าย ถ่ายอุจจาระผิดปกติ ถ่ายปัสสาวะผิดปกติ หน้าร้อนผ่าวบ่อยๆ ทนเสียงอึกทึกและแสงจ้าๆไม่ได้ นี้เป็นสัญยานอันตรายจากไฮโปไกลซีเมีย(Hypoglycemia)โรคร่วมสมัยที่เรียกว่า โรคอ่อนเพลียเรื้อรังหรือ Chronic Fatigue Syndroem(CFS)เหตุเกิดเพราะพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตที่ผิดๆ

สาเหตุสำคัญ

มาจากพฤติกรรมการบริโภคที่นิยมน้ำตาลและของหวานมากเกินไป เมื่อกินอาหารเหล่านี้เข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง ตับอ่อนก็จะผลิตอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้ต่ำลง อีกครู่หนึ่งเราก็กินอาหารที่มีน้ำตาลมากเข้าไปอีก น้ำตาลในเลือดก็สูงขึ้นอินซูลินต้องถูกส่งมาลดน้ำตาลอีก เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นแล้วลงต่ำสลับกันไปตลอดเวลา นั่นหมายถึงตับอ่อนต้องทำงานตลอดเวลา

อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน อาจเกิดขึ้นแล้วหายไปแล้วก็กลับมาเป็นอีก แต่การสำคัญคือ เหนื่อยเพลีย นอนไม่หลับ ไม่มีแรง สมองมึนซึม ปวดเนื้อปวดตังเรื้อรัง และระบบขับถ่ายมีปัญหาอยู่ตลอกเวลา หากคุณมีอาการดังกล่าวนี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ต้องรีบปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมการกินโดยด่วนด้วยการงดเติมน้ำตาลในอาหารเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลมาก รวมทั้งฟาสต์ฟูดที่มีไขมันและโปรตีนมากเกินไป และดูแลอารมณ์ตนเองด้วย งานมักมาพร้อมกับความเครียด แต่เมื่อใดคุรเครียดร่างกายจะหลี่งฮอร์ดมนอะดรีนาลีน ซึ่งจะกระตุ้นให้ผนังลำไส้ขับกรดออกมามากกว่าปกติ เป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักขึ้นประสาทถูกกระตุ้นให้ตื่นตัว จึงนอนไม่หลับ พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจึงขาดดอกาสว่อมแซมตัวเอง สมาธิสับสน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตกต่ำลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้ออื่นๆได้ตามมา

"คุณคิดว่าอาการเหล่านี้ร้ายแรงหรือไม่ และคุณมีความคิดเห็นอย่างไร?"